วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ฟ้าผ่า เกิดขึ้นได้อย่างไร

ฟ้าผ่า ฟ้าแลบและฟ้าร้องเป็นปรากฎการณ์ทางธรรมชาติ






ฟ้าผ่า ฟ้าแลบและฟ้าร้องเป็นปรากฎการณ์ทางธรรมชาติ
ที่เกิดจากการถ่ายเทประจุไฟฟ้าจำนวนมากระหว่างวัตถุที่มีประจุไฟฟ้าซึ่งอาจเกิดขึ้นระหว่างพื้นโลกกับก้อนเฆม หรือระหว่างก้อนเฆมกับพื้นดิน เหมือนกับหลักการที่ว่าถ้าเอาวัตถุต่างชนิดมาถูกันจะเกิดอำนาจของไฟฟ้าขึ้น ในวัตถุทั้งสองนั้น 
ลมซึ่งประกอบด้วยโมเลกุลของแก๊สชนิดต่าง
· เมื่อพัดด้วยความเร็วสูงจะทำให้เกิดการขัดสีกับผิวพื้นโลกและสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ จึงทำให้โมเลกุลของลมได้รับประจุลบ (อิเล็กตรอน)
· เมื่อลมได้รับอิเลคตรอน และไปถ่ายเทให้กับด้านล่างของก้อนเมฆ
· เมื่ออิเล็กตรอน รวมตัวกันที่ด้านล่างของก้อนเมฆมากขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงขนาดหนึ่ง แรงผลักระหว่างอิเลคตรอนบนก้อนเมฆ จะผลักให้อิเลคตรอนที่ผิวโลกแยกตัวออกจากประจุบวก จนทำให้ผิวโลกมีประจุเป็นบวกเพิ่มมากขึ้น
· ประจุลบบนก้อนเมฆจะผลักกันเองและขณะเดียวกันจะถูกดูดโดยประจุบวกจากพื้นโลก จึงทำให้มีประจุลบเคลื่อนที่ลงสู่ผิวโลก เนื่องจากแรงผลักจากด้านบนและแรงดูดจากด้านล่าง
ซึ่งการที่ประจุเคลื่อนที่จากก้อนเมฆไปสู่ผิวโลกจะเรียกว่า ฟ้าผ่า
ถ้าประจุเคลื่อนที่จากก้อนเมฆไปยังก้อนเมฆเรียกว่า ฟ้าแลบ
ในขณะที่ประจุไฟฟ้าแหวกผ่านไปในอากาศด้วยอัตราเร็วสูงมันจะผลักดันให้อากาศ แยกออกจากกัน แล้วอากาศก็กลับเข้ามาแทนที่โดยฉับพลันทันที ทำให้เกิดเสียงดังลั่นขึ้น เราเรียกว่า ฟ้าร้อง
ฟ้าแลบและฟ้าร้องในพายุเกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน แต่มนุษย์เรามองเห็นฟ้าแลบก่อนต่อมาจึงได้ยินฟ้าร้องทั้งนี้ เพราะเหตุว่าแสงมีความเร็วมากกว่าเสียง แสงมีอัตราเร็ว 300,000 กิโลเมตรต่อวินาที ส่วนเสียงมีอัตราเร็วประมาณ 1/3 กิโลเมตรต่อวินาทีเท่านั้น
 
เพราะเหตุนี้ เมื่อมีฟ้าแลบและฟ้าร้อง เราจึงได้เห็นฟ้าแลบหรือประกายไฟได้ทันทีและได้ยินเสียงฟ้าร้องทีหลัง
ถ้าเราต้องการทราบว่าฟ้าแลบอยู่ห่างจากเราเท่าใดเราก็จับเวลาตั้งแต่เมื่อเรา เห็นฟ้าแลบจนถึงเมื่อเราได้ยินเสียงฟ้าร้องว่าเป็นจำนวนกี่วินาที แล้วเอาจำนวนวินาทีคูณด้วย 1/3 ก็จะได้เป็นระยะกิโลเมตร เช่นเราจับเวลาระหว่างฟ้าแลบกับฟ้าร้องได้ 6 วินาที เราก็จะทราบได้ว่า ฟ้าแลบอยู่ห่างจากเราประมาณ 1/3 x 6 = 2 กิโลเมตร
 ฟ้าผ่านั้นจะผ่าแต่สิ่งที่เป็นสื่อไฟฟ้า
และอยู่สูงขึ้นไปในท้องฟ้ามากกว่าสิ่งอื่น ในบริเวณข้างเคียงเสมอเพราะไฟฟ้านั้นต้องเดินทางลัดระหว่างก้อนเมฆกับพื้นดิน ถ้ามีสื่ออะไรอยู่สูงมันก็จะผ่านลงมาทางสื่อนั้นจึงมีข้อห้ามกันว่า อย่าเดินกลางทุ่งโล่งในขณะที่ท้องฟ้าคะนอง อย่าถือโลหะออกอยู่กลางฝนขณะที่ฟ้าคะนองและอย่าอยู่ใต้ต้นไม้ที่สูงๆ ขณะที่ฟ้าคะนอง ฯลฯ เพราะจะทำให้ฟ้าผ่าได้

 
การป้องกันฟ้าผ่าอาคารสถานบ้านเรือนและสิ่งก่อสร้าง
ทำได้โดยเอาโลหะปลาย แหลมขึ้นไปปักไว้ บนส่วนสูงที่สุดของสิ่งก่อสร้างนั้น แล้วต่อสื่อลงมาผูกกับแผ่นทองแดงฝังลงไปในดินให้ลึก ๆซึ่งจะเป็นทางเดินผ่านของกลุ่มอนุภาคไฟฟ้าจากอากาศ

 
ขอขอบคุณ ข้อมูลที่มีประโยชน์จาก เว็บไซต์Kmutt Libraryเพื่อร่วมกันสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้บนโลกอินเตอร์เน็ต
วันไหนมีฝนตกมีสิ่งหนึ่งที่เรามักพบเห็นเป็นประจำคือ สายฟ้าที่วิ่งไปมาในก้อนเมฆที่เราเรียกมันว่า ฟ้าแลบ และสายฟ้าที่วิ่งลงสู่พื้นดินเรียกว่า ฟ้าผ่า ส่วนเสียงดังที่หลายๆคนกลัวหลังสายฟ้าแลบ และ ฟ้าผ่า เรียกว่าฟ้าร้อง ปรากฏการ์ณทางธรรมชาติเหล่านี้เกิดมาคู่กับโลกของเรามานานแสนนาน ในบางทีเราจะเจอเหตุการณ์นี้แทบทุกวัน มนุษย์ยุคแรกๆนั้นกลัวต่อปรากฏการณ์นี้มากโดยเฉพาะฟ้าผ่า เนื่องจากเขาคิดว่าฟ้าผ่าเป็นการกระทำของภูตผีปีศาจที่มีอำนาจเหนือพวกเขา

เมื่อความคิดของมนุษย์ได้เริ่มมีการพัฒนามากขึ้นคำอธิบายเกี่ยวกับฟ้าผ่าก็ได้เปลี่ยนแปลงไปในเทพนิยายของกรีกในโลกตะวันตกนั้นกล่าวว่า สายฟ้าคืออาวุธของเทพซีอุส (Zeus) ซึ่งเป็นเจ้าแห่งเทพทั้งหมด (ถ้าลองเปรียบเทียบกับเทวดาในนิยายไทย เทพซีอุสคือพระอินทร์ของเรานั่นเอง) ส่วนความชั่วของชนเผ่าไวกิ้ง (Viking) กล่าวว่าสายฟ้าที่เกิดจากการที่เทพเจ้าเทอร์ (Thor) เอาค้อนตีแท่งตีเหล็กเวลาขับรถม้าบนก้อนเมฆ ส่วนชนเผ่าอินเดียแดงมีความเชื่อว่าสายฟ้าเกิดจากนกที่ชื่อว่า มิสติค (Mystical bird) ส่วนของไทยเราก็มีเรื่องราวเกี่ยวกับยักษ์รามสูรและนางเมขลาที่เรารู้จักกันดี

          ปัจจุบันความรู้ทางวิทยาศาสตร์ของเราได้ถูกพัฒนาไปไกลมาก เรารู้ว่าความเชื่อเหล่านี้ไม่ถูกต้อง แต่เรารู้เกี่ยวกับปรากฏการณ์นี้มากแค่ไหนหรือ มันเกิดขึ้นได้อย่างไร ลองถามตัวคุณดู แล้วคุณจะรู้ว่าความรู้ของคุณเกี่ยวกับปรากฏการณ์ฟ้าผ่ามีอยู่น้อยมากหรือแทบไม่รู้อะไรเลย

          เรารู้ดีว่าปรากฏการณ์ฟ้าผ่าเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติอย่างหนึ่ง มันอยู๋ใกล้ตัวเรามาก จะพบเห็นได้แทบทุกครั้งที่มีฝนตก อีกทั้งเรายังฟังข่าวว่ามีคนได้รับอุบัติเหตุจากการโดนฟ้าผ่าบ่อยๆ บางครั้งก็มีการเสียชีวิต เฉพาะที่อเมริกาแห่งเดียวมีคนถูกฟ้าผ่าตายราว 200 คนต่อปี แม้ว่าฟ้าผ่าจะอันตรายใกล้ตัวเรา แต่การศึกษาในเรื่องนี้มีอยู่ไม่มากนัก ที่แล้วมาที่เกี่ยวข้องกับฟ้าผ่าที๋โด่งดังที่สุดคงเป็นของ เบนจามิน เฟรงคลิน (Benjamin Franklin) ในช่วงศตวรรตที่ 18 โดยใช้ว่าวกับแผ่นทองแดงไปล่อฟ้าผ่านั่นเอง ทำให้เรารู้ว่า ฟ้าผ่าเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดจากการไหลของประจุไฟฟ้าจากที่ๆมีศักย์ไฟฟ้าสูงไปยังที่ที่มีศักย์ไฟฟ้าต่ำ


          ปรากฏการณ์นี้เป็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจมากเนื่องจากกระแสไฟฟ้าที่เกิดขึ้นในช่วงที่เกิดฟ้าผ่ามีค่าสูงมาก อยู่ในระดับหมื่นแอมแปร์เลยทีเดียว ถ้าอยากรู้ว่าสูงแค่ไหนก็ลองเปรียบเทียบกับกระแสไฟฟ้าที่ใช้ตามบ้านดูสิ

          โดยปรกติกระแสไฟฟ้าที่ใช้ตามบ้านของเรามีค่าอยู่ที่ 15 - 30 แอมแปร์แค่นั้นเอง ดังนั้นกระแสไฟฟ้าในช่วงฟ้าผ่าจึงถูกเป็นพันเท่าของกระแสไฟฟ้าทีใช้ตามบ้าน จะเห็นได้ว่ามันสูงมาก เนื่องจากปริมาณกระแสไฟฟ้าที่สูงนี้เองฟ้าผ่าจึงสามารถทำอันตรายต่อทุกสิ่งที่มันได้สัมผัส รวมถึงตัวคนเราด้วย

: ดร. ธวัชชัย อ่อนจันทร์
: วิชาการ.คอม
 กระแสไฟฟ้าอันมากมายที่เกิดขึ้นในช่วงที่ฟ้าผ่ามาจากไหน

          กระแสไฟฟ้าอันมากมายที่เกิดขึ้นในช่วงที่ฟ้าผ่ามาจากไหน เป็นคำถามที่หลายคนคงอยากจะรู้ ถ้าจะดูรายละเอียดการเกิดขึ้นของฟ้าผ่าคงจะต้องเริ่มจากการเกิดขึ้นของเมฆ ก่อนที่จะเกิดพายุฝนความชื้นที่มีอยู่ในอากาษจะรวมตัวกันเมื่อปะทะกับอากาศเย็นก็จะกลายเป็นก้อนเมฆที่เราเห็นบนท้องฟ้า เมฆแบบนี้เรียกว่า เมฆคูมูลัส (Cumulus) เมฆชนิดนี้จะรวบรวมไอน้ำในอากาศแล้วมีขนาดใหญ่มากขึ้นเรื่อยจนกระทั่งมันเริ่มตกลงมาเป็นฝน แต่ระหว่างที่มันรวบรวมไอน้ำนี่เอง ก้อนน้ำแข็งเล็กๆในเมฆจะเสียดสีกันกับอากาศระหว่างที่เมฆถูกลมพัด การเสียดสีนี้เองที่จะนำไปสู่การเกิดขึ้นของไฟฟ้าสถิต โดยที่เมฆจะทำหน้าที่เป็นตัวเก็บประจุไฟฟ้าเหล่านี้ เนื่องจากมีสนามไฟฟ้าที่เกิดขึ้นจากความต่างศักย์ของชั้นบรรยากาศระดับสูงที่เรียกว่า ชั้นไอโอโนสเพียร์ (Ionosphere) และพื้นดิน

          โดยทั่วไปความต่างศักย์ไฟฟ้าระหว่างชั้นไอโอโนสเพียร์และพื้นดินจะอยู่ที่ประมาณ 200,000  V ถึง 500,000 V ความต่างศักย์ไฟฟ้านี้เองทำให้ประจุไฟฟ้าในเมฆแยกโดยที่ประจุบวกจะอยู่บริเวณด้านบนของเมฆและประจุลบจะอยู่ที่ด้านล่าง ประจุไฟฟ้าลบที่อยู่ด้านล่างของเมฆจะเหนี่ยวนำให้เกิดประจะไฟฟ้าบนพื้นดิน เมื่อประจุมารวมตัวกันมากๆ การเคลื่อนที่ของประจะก็จะเกิดขึ้นซึ่งนำไปสู่ปรากฏการณ์ฟ้าแลบฟ้าผ่าในที่สุด ถ้าเกิดการถ่ายเทประจุลงสู่พื้นดิน เมื่อประจุมารวมตัวกันมากๆ การเคลื่อนที่ของประจุก็จะเกิดขึ้นซึ่งนำไปสู่ปรากฏการณ์ฟ้าแลบและฟ้าผ่าในที่สุด ถ้าเกิดการถ่ายเทประจุลงสู่พื้นดินก็จะเรียกว่า ฟ้าผ่า ถ้าเกิดการถ่ายเทประจุระหว่างเมฆด้วยกันก็จะเป็นฟ้าแลบ

          หากเกิดฟ้าผ่าสิ่งที่เราควรกระทำมากที่สุดคือ อย่าให้เราเป็นจุดเด่นในที่โล่ง เพราะฟ้าผ่าจะวิ่งมาที่เรา ส่วนการคิดที่จะหลยอยู่ใกล้ต้นไม้ใหญ่ก็ไม่ถูกต้องเนื่องจากเมื่อมีฟ้าผ่าเกิดขึ้นมึงจะวิ่งไปที่ต้นไม้และกระจายไปสู่พื้นดินรอบๆตันไม้นั่นเอง ดังนั้นถ้าเราไปอยุ่ใกล้ต้นไม้เราก็สามารถได้รับอันตรายได้เช่นกัน ทางที่ดีที่สุดคือพยายามที่จะรักษาตัวเราให้ต่ำที่สุดและหาที่ป้องกัน เช่นหลบในรถยนต์ เป็นต้น

: ฟ้าผ่า โดย คุณ พวงร้อย
ที่มาของเนื้อหา http://guru.sanook.com/pedia/topic/%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B9%84%E0%B8%AB%E0%B8%A1_%E0%B8%9F%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%9C%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%A2%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%87%3F/

 ที่มา : http://www.tlcthai.com/education/knowledge-online/15349.html
ภาพจาก http://www.chaoprayanews.com/

กล้วยไม้สกุลแวนด้า Vanda

กล้วยไม้สกุลแวนด้า Vanda


วนด้า (Vanda) เป็นกล้วยไม้ที่อยู่ในประเภท "โมโนโพเดี้ยล" ครับ หมายถึง เป็นกล้วยไม้ที่ ไม่แตกกอ มีการเจริญเติบโตไปทางยอด ลักษณะทั่วไปของ แวนด้า คือ รากเป็นรากอากาศ ใบของ แวนด้า นั้นมีลักษณะกลม แบนหรือร่อง ใบจะเรียงตัวซ้อนสลับกัน ช่อดอกจะออกด้านข้างของลำต้นสลับกับใบ ช่อดอก แวนด้า นั้นยาวและแข็ง กลีบนอกและกลีบในมีรูปร่างคล้ายคลึงกัน โคนกลีบแคบ และไปรวมกันที่โคนเส้าเกสร กลีบดอกในล่างด้านใต้มีเดือยแหลมยื่นออกมาเป็นส่วนท้ายของปากกระเป๋า ปากกระเป๋าของแวนด้าเป็นแบบธรรมดาแบนเป็นแผ่นหนาแข็ง และพุ่งออกด้านหน้า รูปลักษณะคล้ายช้อน หูกระเป๋าทั้งสองข้างแข็งและตั้งขึ้น สีสั้นของดอก แวนด้า เราอาจพบเห็นได้มากที่สุดคือ สีน้ำเงินเข้ม สีครามอ่อน สีชมพู สีเหลือง หรือแม้กระทั้งสีเขียว หรือ ดำก่ำ และยังมีอีกมากหมายหลายสีขนาดที่ว่าหากเดินหลงเข้าดงของดอก แวนด้า แล้วมันไม่ต่างอะไรจากบ้านขนมหวานของฮันเซลและเกรเทลทีเดียว


แวนด้า ได้เติบโตและแพร่กระจายพันธุ์ในธรรมชาติของเอเชียราว ๆ ๔๐ ชนิด หากเราได้มีโอกาสไปยังประเทศ อินเดีย เราอาจจะได้พบกับ แวนด้า เทสเซลาต้า กล้วยไม้ที่ขึ้นชื่อว่าใกล้สูญพันธุ์และกลิ่นหอมแรง หรือ แวนด้า ไตรคัลเลอร์ ที่มีสีสันถึงสามสีบนพื้นดอกเดียว เมื่อลองสำรวจบนผืนเกาะฟิลิปินส์เราก็จะได้พบกับต้นกำเนิด แวนด้า สองสีหรือทูโทนอย่างเจ้า แวนด้าแซนเดอเรียน่า กล้วยไม้ที่ขึ้นชื่อบัญชีว่าเป็นกล้วยไม้ใกล้สูญพันธุ์และเป็นพันธุ์ไม้ที่หวงแหนที่สุดของฟิลิปินส์ และในไทย เราเองก็มี แวนด้าฟ้ามุ่ย กล้วยไม้ที่ได้รับการยอมรับว่าสวยมากที่สุดชนิดหนึ่งของโลก นอกจากนี้ แวนด้ายังกระจายพันธุ์กว้างขวางไปตามประเทศต่าง ๆ อีก เช่น ศรีลังกา พม่า อินโดนีเซีย รวมไปถึง ทวีปออสเตรเลียตอนเหนือ
     ในปัจจุบัน แวนด้า ได้รับการปรับปรุงสายพันธุ์ขึ้นอีกหลายพันธุ์ ด้วยเหตุนี้จึงได้มีการจำแนกประเภทของ แวนด้า โดยอาศัยรูปร่างลักษณะของใบออกเป็น ๔ ประเภท คือ
แวนด้าใบกลม มีลักษณะของใบกลมยาวทรงกระบอก ต้นสูง ข้อห่าง สังเกตได้ที่ใบติดอยู่ห่างๆ กัน มีดอกช่อละหลายดอก แต่ดอกจะบานติดต้นอยู่คราวละ ๒ - ๓ ดอกเท่านั้น เมื่อดอกข้างบนบานเพิ่มขึ้น ดอกข้างล่างจะโรยไล่กันขึ้นไปเรื่อยๆ การปลูกใช้ดอกจึงนิยมปลิดดอกมากกว่าตัดดอกทั้งช่อ
แวนด้าใบแบน ลักษณะใบแผ่แบนออก เป็น แวนด้า ที่ปลายใบโค้งลงและจักเป็นแฉก ถ้าตัดมาดูหน้าตัดจะเป็นรูปตัววี มีข้อถี่ปล้องสั้น ใบซ้อนชิดกัน
แวนด้าใบร่อง มีรูปทรงของใบและลำต้นคล้ายใบแบนมากกว่าใบกลม แวนด้าประเภทนี้ไม่พบในป่าธรรมชาติ การนำมาปลูกเลี้ยงเป็นพันธุ์ลูกผสมทั้งสิ้น โดยนำแวนด้าใบกลมมาผสมกับแวนด้าใบแบน
แวนด้าก้างปลา มีรูปทรงของใบและลำต้น กิ่งใบกลมกับใบแบน กล้วยไม้กลุ่มนี้พบว่าเป็นหมันเสียส่วนใหญ่ จึงพบว่ามีจำนวนในธรรมชาติน้อยมาก


แวนด้า ที่ได้รับความนิยมสูงสุดคงจะหนีไม่พ้น เอื้องฟ้ามุ่ย เนื่องจากเป็นกล้วยไม้ที่มีดอกใหญ่ สีสวย อีกทั้งยังหายากด้วยครับการเลี้ยง แวนด้า ใบแบนนั้นจำเป็นต้องโรงเรือนเพื่อช่วยในการลดทอแสงให้อ่อนลง แวนด้า ที่ดูเหมือนจะเลี้ยงง่ายที่สุดน่าจะเป็น แวนด้าใบกลม เนื่องจากเป็น แวนด้า ที่ทนร้อนเก่งและไม่จำเป็นต้องมีโรงเรือนก็สามารถเลี้ยงได้โดยง่าย ส่วน แวนด้า ที่มีใบเป็นร่องหรือที่เราเรียกว่า แวนด้าใบร่อง นั้นเกิดจากลูกผสมระหว่าง แวนด้าใบกลม เข้ากับ แวนด้าใบแบนครับ ทั้งนี้ก็เพราะว่า แวนด้าใบแบนนั้นเลี้ยงค่อนข้างยาก จึงต้องนำมาผสมกับใบกลมเพื่อให้ลูกออกมาสามารถเลี้ยงได้ง่ายขึ้นและมีสีสวยบานทนขึ้นนั่นเองครับ
ลักษณะที่ดีของแวนด้านั้นกล่าวไว้ว่า
• ดอกฟอร์มต้องกลม อย่างฟ้ามุ่ยต้องพัฒนาให้กลม (แต่ปัจจุบัน ฟอร์มแบบบิน ๆ ก็ได้รับความนิยมไม่แพ้กันนะ)
• จำนวนดอกในก้านช่อ ๑ ก้าน ต้องมีจำนวนมากเข้าไว้ เช่นสามปอยขุนตานควรจะมีราว ๆ ๗ - ๘ ดอกเป็นต้น
• ก้านดอกสั้น หมายถึงเมื่อก้านดอกสั้นดอกจะกระจุกติดกับก้านช่อทำให้ดูเป็นพุ่มดอกสวยงามครับ
• ลวดลายบนดอกชัดเจน เช่น ฟ้ามุ่ยก็ต้องมีลายสมุกที่ชัดถึงจะสวยครับ
• ก้านช่อต้องแข็งและยาว เพื่อที่จะรับน้ำหนักของจำนวนดอกได้นั่นเองครับและยาวมากจำนวนดอกมาด้วยก็จะยิ่งสวยครับ


ลักษณะการปลูกเลี้ยง แวนด้า
     ก่อนอื่นต้องกล่าวก่อนว่า แวนด้า แต่ละชนิดนั้นชอบสภาวะอากาศแตกต่างกัน ถึงจะมีวิธีปลูกที่เหมือนกันแต่หากสภาวะโรงเรือนไม่เหมาะสมก็เฉาตายได้เหมือนกันครับ ทีนี้มาดูวิธีปลูกกันครับ
     • ส่วนใหญ่ แวนด้า เป็นกล้วยไม้รากอากาศครับ ดังนั้น ปลูกแบบใส่กระเช้าไม่ต้องใส่เครื่องปลูกก็ได้
     • การปลูก อาจจะใช้ฟิวมัดรากกับกระเช้าให้ไม่ให้ขยับได้ครับ
     • หลังจากนั้น นำอนุบาลไว้ในร่มรำไรหรือใต้แสลนอย่าถูกแสงมากจนกว่ารากจะเดินดี
     • แวนด้า ที่ออกขวดอาจจะผึ่งในตะกร้าสักระยะให้รากใหม่เดินแล้วค่อยหนีบนิ้วครับ
     • การหนีบนิ้วอาจจะใช้สเฟกนั่มมอส หรือ กาบมะพร้าวหนีบ
     • ไม้ใหม่รากยังไม่แข็ง อาจจะให้แต่น้ำหรือผสม บี๑ รดครับ
     • พอแข็งแรงดีก็ปรับเป็นให้ปุ๋ยสัปดาห์ละครัง เช่น ๒๑-๒๑-๒๑ เป็นต้น
ทั้งนี้ทั้งนั้นกล้วยไม้จะสวยหรือไม่สวยขึ้นอยู่กับความขยันของเราด้วยนะครับ หากขยัน แวนด้า ที่เราเลี้ยงก็จะให้ดอกสวยงามแต่หากไม่ละก็ แวนด้า ก็จะเฉาตายได้ครับ และก่อนจะนำ แวนด้า ชนิดไหนมาเลี้ยงควรจะศึกษาให้ดีก่อนเพราะบางชนิดเลี้ยงยากในพื้นราบเป็นต้นครับ
ที่มา : http://www.orchidtropical.com/vanda.php

กล้วย : เรื่องกล้วยๆ เรื่องป่วยเรื่องเล็ก

ล้วย เป็นพืชที่พบทั่วไปในเขตร้อนทุกบริเวณของโลก กล้วยมีมากกว่า 100 สายพันธุ์ จึงไม่เป็นที่น่าแปลกใจเลย ว่าทำไมประชากรในเขตอื่นๆ ของโลก จึงนิยมบริโภคกล้วยด้วยเช่นกัน ด้วยองค์ประกอบมากมาย ทั้งมีคุณค่าทางโภชนาการสูง มีผลผลิตตลอดปี ราคาไม่แพง กล้วยจึงถูกนำเข้าประเทศในเขตอื่นอย่างมาก และที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ก็คือกล้วยหอม

กล้วยสุก มีคาร์โบไฮเดรตถึง 22% เพราะฉะนั้นการรับประทานกล้วยแทนอาหารเย็น เพื่อลดความอ้วน ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะคาร์โบไฮเดรตส่วนใหญ่อยู่ในรูปของน้ำตาล ซึ่งเป็นสาเหตุของความอ้วนอย่างหนึ่ง นอกจากจะเป็นแหล่งของคาร์โบไฮเดรตแล้ว กล้วยยังอุดมไปด้วยเกลือแร่ คือเป็นแหล่งวิตามินเอ บี และซี
กล้วยเป็นผลไม้ที่คนทั่วไปนิยมรับประทาน แต่กลับไม่ค่อยมีใครศึกษาถึงประโยชน์ทางยาของกล้วยมากนัก อย่างไรก็ตาม พบว่าชาวอินเดียใช้แป้งจากกล้วยบางชนิดทำ "จาปาตี" ซึ่งเป็นโรตีจืด ทั้งนี้มีสรรพคุณคือ ลดอาการท้องอืด หรือธาตุพิการ และยังใช้แป้งจากกล้วยผสมนมสด ใช้เป็นอาหารที่ย่อยง่ายในผู้ป่วยกระเพาะอักเสบได้เป็นอย่างดี
ในปี พ.ศ. 2473 นักวิทยาศาสตร์ เชื่อว่าเนื้อกล้วยสามารถทำปฏิกิริยากับกรดในกระเพาะอาหาร ทำให้เหลือกรดไม่มากพอที่จะทำให้เกิดอาการปวด แต่นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ กลับพบสารสำคัญในกล้วยที่สามารถยับยั้งการหลั่งของกรดในกระเพาะได้ จึงช่วยลดการกำเริบของแผลในกระเพาะ และพบอีกว่า หลังจากให้หนูทดลองกินกล้วยไประยะหนึ่ง ผนังกระเพาะของหนูหนาขึ้นถึง 20% และให้กินยาแอสไพรินซึ่งมีฤทธิ์กัดกระเพาะ กระเพาะของหนูทดลองก็ไม่สามารถกัดกระเพาะได้
นอกจากนี้ ในกล้วยดิบจะมีสารแทนนิน ที่สามารถรักษาอาการท้องเดินชนิดไม่รุนแรงได้ วิธีใช้คือ ใช้กล้วยน้ำว้าห่ามรับประทานดิบ ครั้งละครึ่ง-หนึ่งผล หรือใช้กล้วยน้ำว้าดิบ ฝานเป็นแว่นบาง ๆ ตากแดดให้แห้ง บดเป็นผงใช้ชงน้ำร้อนดื่ม ครั้งละครึ่ง-หนึ่งผล ควรงดอาหารทุกชนิด ประมาณ 2 มื้อ เพื่อให้ท้องได้พักตัว เราใช้กล้วยดิบระงับอาการท้องเดินแล้ว ก็ยังใช้กล้วยสุกเป็นยาระบายได้ด้วย เนื่องจากกล้วยสุกมีเพคตินสูง ช่วยให้ถ่ายคล่อง
ผลไม้ที่ไม่ค่อยมีใครให้ความสำคัญ กลับมีประโยชน์มากมาย หากรู้อย่างนี้แล้วก็หันกลับมารับประทานผลไม้ไทย ราคาถูก มากด้วยคุณค่า ดีกว่าผลไม้นำเข้า ราคาแพง กันเถิด


ที่มา http://ittm.dtam.moph.go.th/data_all/herbs/herbal08.htm
ภาพจาก
health.kapook.com
webclass.kkucs.com

การถักตุ๊กตาโครเชต์

ตุ๊กตาโครเซต์

ถิ่นกำเนิดโครเซต์
กมลพรรณ ศักดิ์สยาม  ป.บัณฑิต 17/1 มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม
โครเชต์ (Crochet) เป็นภาษาฝรั่งเศษ หมายถึง “ตะขอ” เป็นกระบวนการในการสร้างโครเชต์ มาจากคำว่า croc หรือ croche แปลว่าตะขอ หมายถึงเครื่องมือที่ใช้ในการทำของใช้หรูหราในชีวิตประจำวัน การถักไหมพรมน่าจะมีมาตั้งแต่โบราณในเมืองจีน อาระเบียหรืออเมริกาใต้ ด้วยการนำด้าย ไหม ขนสัตว์มาถักทอเป็นห่วงโซ่ร้อยต่อกันจนเป็นผืนผ้าลวดลายงดงาม และได้รับความนิยมในยุโรปราว ค.ศ. 1800 สมัยแรกมนุษย์ใช้เพียงนิ้วชี้งอเป็นรูปตะขอถักเส้นไหม จึงไม่มีหลักฐานเป็นเครื่องมือ มาให้คนรุ่นหลังได้เห็น ภายหลังมีการพัฒนาเครื่องมือโครเชต์แทนนิ้วจากงาช้าง ทองเหลืองหรือไม้เนื้อแข็ง โครเชต์ในยุคแรกเริ่มเป็นงานกลุ่มแม่บ้าน เพราะชนชั้นสูงใช้เฉพาะลูกไม้ที่เรียกว่า lacc ถักลำบาก ด้วยกระสวยเรียกว่า Bobbin ต่อมาเมื่อพระราชินีวิกตอเรีย ทรงโปรดไอริชโครเชต์ ถึงขนาดลงมือถักด้วยพระองค์เอง ชนชั้นกลางในสมัยนั้นจึงเริ่มหันมาซื้อผลิตภัณฑ์โครเชต์จากกลุ่มแม่บ้าน
ที่มา : http://www.learners.in.th/blogs/posts/291344

ตุ๊กตาหมีถักไหมพรม หรือ อะมิกุรุมิ (จากคำญี่ปุ่นว่า (ญี่ปุ่น: 編む amu ถัก ?) และ (ญี่ปุ่น: 縫い包み nuigurumi ของเล่นยัดไส้ข้างใน ?) เป็นตุ๊กตาหมี ที่ถักด้วยโครเช และใช้ไหมพรมแบบพิเศษ ที่ทำให้ขนฟู มีเอกลักษณ์ด้วยการที่ไม่เหมือนตุ๊กตาหมีถักไหมพรม แบบทั่วไป นอกจากถักเป็นตุ๊กตาหมีถักไหมพรมแล้วยังสามารถถักเป็นรูปแบบต่าง ๆ ได้อีก เช่น ตุ๊กตาถักพวงกุญแจ ตุ๊กตาถักไหมพรมรับปริญญา เป็นต้น
ที่มา : http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B9%8A%E0%B8%81%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B8%96%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B9%84%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%A1

ภาพจาก
http://www.showthep.com/show-151677
http://www.magicquilt.net/300-%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B9%8A%E0%B8%81%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%95%E0%B9%8C-white-evil.html
http://www.thaismefranchise.com/?p=3627

เรื่องของเจ้าหมีโคลา

โคอาลา (Koala) [2] เป็นสัตว์ในกลุ่มสัตว์จำพวกจิงโจ้ (มิใช่หมี) ตัวเมียจะมีกระเป๋าหน้าท้อง สำหรับให้ลูกอ่อนอาศัยอยู่ จากการที่มันมีลักษณะรูปร่าง หน้าตาคล้ายสัตว์ในตระกูลหมี ทำให้คนส่วนมากเรียกมันว่า หมีโคอาลา (Koala bear)





หลายคนอาจจะคุ้นเคยกับการเรียกเจ้าตัวนี้ว่าหมีโคอาลาแต่จริงๆ แล้วเจ้านี่น่ะไม่ใช่หมี เพราะตามหลักวิชาการแล้วโคอาลาเป็นสัตว์ในกลุ่มสัตว์จำพวกจิงโจ้ (ซึ่งก็ยังมองไม่ออกว่าหน้าตาโคอาลาเหมือนกันกับจิงโจ้ตรงไหน)ตัวเมียจะมีกระเป๋าหน้าท้องสำหรับให้ลูกอ่อนอาศัยอยู่ แต่จากการที่มันมีลักษณะรูปร่างหน้าตาคล้ายสัตว์ในตระกูลหมีนี่เอง ทำให้คนส่วนมากเรียกมันว่า หมีโคอาลา(Koala bear) นี่เองจึงเป็นสาเหตุให้ใครต่อใครหลายคนเข้าใจว่าเจ้าโคอาลานั้นเป็นหมีชนิดหนึ่ง ...




สำหรับโคอาลานั้น ตามที่ได้มีการบันทึกไว้ โคอาลาถูกค้นพบในปี พ.ศ.2341 มีบันทึกครั้งแรกสุดที่พบโคอาล่า พบโดยชาวยุโรปชื่อ John Price ต่อมาพ.ศ.2346 ข้อมูลรายละเอียดของโคอาลาเริ่มถูกตีพิมพ์ในซิดนีย์กาเซ็ตต์ (Sydney Gazette) ค.ศ.1816 นักธรรมชาติวิทยาชาวฝรั่งเศส Blainwill ตั้งชื่อทางวิทยาศาสตร์ให้ ชื่อว่าPhascolarctos ซึ่งมาจากภาษากรีก โดยเกิดจากคำ คำ รวมกัน คือคำว่า กระเป๋าหน้าท้องของจิงโจ้ และคำว่า หมี (leather pouch และ bear) ต่อมานักธรรมชาติวิทยาชาวเยอรมัน Goldfuss ได้ตั้งชื่อที่เฉพาะเจาะจงลงไปเป็นcinereus ซึ่งหมายถึง สีขี้เถ้า
ที่มา : http://www.trueplookpanya.com/true/knowledge_detail.php?mul_content_id=11837



โคอาลาอาศัยอยู่ในป่าที่มีต้นยูคาลิปตัส ปัจจุบันจะพบโคอาลาได้ที่ รัฐควีนส์แลนด์ รัฐนิวเซาท์เวลส์ รัฐวิกตอเรีย และ รัฐเซาท์ออสเตรเลีย



โคอาล่ากินใบยูคาลิปตัสเป็นอาหาร ฟันและระบบย่อยอาหารถูกพัฒนามาให้สามารถกินและย่อยใบยูคาลิปตัสได้ ใบยูคาลิปตัวมีสารอาหารน้อยมาก และยังมีสารที่มีพิษต่อสัตว์ แต่ระบบย่อยอาหารของโคอาลามีการปรับตัว ทำให้สามารถทำลายพิษนั้นได้ โคอาลามีอวัยวะที่ทำหน้าที่ในการย่อยไฟเบอร์ (ส่วนประกอบหลักของใบยูคาลิปตัส) ยาวมากถึง 200 ซ.ม. ที่บริเวณอวัยวะนี้ จะมีแบคทีเรียที่ช่วยในการย่อยไฟเบอร์ให้กลายเป็นสารอาหารที่ดูดซึมได้ อย่างไรก็ตาม โคอาลามีการดูดซึมสารที่ได้จากการย่อยไฟเบอร์ไปใช้เพียงแค่ 25 % ของที่มันกินไปเท่านั้น ส่วนน้ำในใบยูคาลิปตัสส่วนใหญ่ถูกดูดซึม ทำให้โคอาลาไม่ค่อยหาน้ำกินจากแหล่งน้ำ ส่วนใหญ่โคอาลากินใบยูคาลิปตัวประมาณวันละ 2000 ถึง 5000 กรัม โดยปกติมันจะนอนถึง 16-24 ชั่วโมงต่อวัน เพื่อรักษาพลังงานไว้


ศัตรูที่สำคัญคือ มนุษย์ ซึ่งล่าเอาขนของมัน


ฤดูการสืบพันธุ์ของโคอาลาอยู่ในช่วงกันยายน ถึง มีนาคม ตัวเมียเริ่มเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุ 3 ถึง 4 ปี และมักมีลูกปีละตัว แต่ทั้งนี้อาจมีลูกปีเว้นปี หรือ ปีเว้น 2 ปี ก็ได้ ขึ้นกับอายุของตัวเมียและสภาพแวดล้อม อายุขัยเฉลี่ยของโคอาลาตัวเมียประมาณ 12 ปี ทำให้มีลูกได้อย่างมาก 5 -6 ตัว ตลอดอายุขัยของมัน มันใช้เวลาตั้งท้องประมาณ 34-36 วัน ลูกโคอาลาที่เกิดใหม่ มีความยาวเพียง 2 ซ.ม. และมีน้ำหนักไม่ถึง 1 กรัม ผิวหนังสีชมพู ไม่มีขน ยังไม่ลืมตา และยังไม่มีหู ลูกโคอาลาจะอาศัยอยู่ในกระเป๋าหน้าท้องของแม่ และกินนมแม่อยู่นาน 7-8 เดือน หลังจากอายุได้ 6-7 สัปดาห์ ลูกโคอาลามีความยาวของหัวประมาณ 26 ม.ม. และเมื่อเริ่มสัปดาห์ที่ 13 จะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเป็น 50 กรัม และมีความยาวของหัวเพิ่มขึ้นเป็น 50 ม.ม. เมื่ออายุได้ 22 สัปดาห์ ตาของลูกโคอาลาจะเริ่มเปิด และมันจะเริ่มโผล่หัวออกมาจากกระเป๋าหน้าท้องของแม่ พออายุได้ 24 สัปดาห์ จะมีขนเต็มตัว และฟันซีกแรกเริ่มงอก สัปดาห์ที่ 30 ลูกโคอาล่าจะมีน้ำหนักประมาณ 0.5 ก.ก. และมีขนาดของหัวยาว 70 ม.ม. ตอนนี้มันเริ่มใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ข้างนอกกระเป๋าหน้าท้องของแม่ สัปดาห์ที่ 36 ลูกโคอาลามีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเป็น 1 ก.ก. และไม่เข้าไปอยู่ในกระเป๋าหน้าท้องแม่อีกแล้ว ส่วนมากมันมักจะเกาะอยู่ที่หลังของแม่ แต่ในช่วงอากาศหนาว หรืออากาศชื้น มันก็จะกลับเข้าไปอยู่ในกระเป๋าหน้าท้องของแม่อีก สัปดาห์ที่ 37 ลูกโคอาลาเริ่มออกห่างจากแม่เพื่อเดินเที่ยวเล่น แต่ยังอยู่ในระยะใกล้ๆ สัปดาห์ที่ 44 ลูกโคอาลากล้าเดินออกมาไกลมากขึ้น แต่ยังไปเกินระยะทาง 1 เมตร ที่ห่างจากแม่ สัปดาห์ที่ 48 ลูกโคอาลายิ่งมีความอยากผจญภัย หรืออยากรู้อยากเห็นยิ่งขึ้น และไม่ส่งเสียงร้องอีกแล้วเมื่อแม่ของมันเดินห่างออกไป มันจะอยู่กับแม่ของมันถึงอายุประมาณ 1 ปี ซึ่งช่วงนี้มันจะมีน้ำหนัก 2 ก.ก. กว่าเล็กน้อย

ขึ้นกับปัจจัยรอบข้าง โดยเฉลี่ยมีอายุประมาณ 113-200 ปี เนื่องจากยีนส์


โคอาลาใช้เสียงในการติดต่อสื่อสาร ซึ่งเสียงที่ใช้มีหลายลักษณะ โดยทั่วไปตัวผู้มักส่งเสียงร้องดังเพื่อประกาศหรือบอกบริเวณที่ตนอาศัยอยู่ ในขณะที่ตัวเมียจะไม่ค่อยส่งเสียงร้อง ตัวเมียจะส่งเสียงร้องดังเมื่อมีอาการกร้าวร้าว สำหรับโคอาลาตัวเมียที่มีลูกอ่อน จะใช้เสียงที่มีความอ่อนโยนกับลูกของตนเอง เมื่อเกิดความกลัวขึ้น โคอาล่าทั้งตัวผู้และตัวเมียจะใช้ส่งเสียงคล้ายเสียงเด็กร้องไห้ นอกจากนี้ โคอาลายังใช้กลิ่นของตนเองทำเครื่องหมายตามต้นไม้ที่ต่างๆ ในการติดต่อถึงกันอีกด้วย

ภาพส่วนหนึ่งมาจาก http://www.oocities.org/taooop/koala.html
เนื้อหา http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%82%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B2

เรื่องของ "สีมีอิทธิพลอย่างไรต่อเรา"

 
สีคือ สเปกตรัมของแสงอาทิตย์ ประกอบด้วยสีหลัก 7 สี ม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด แดง ที่เราท่องกันมาตั้งแต่เด็กๆ พลังของแสงอาทิตย์ยังสามารถซึมแทรกผ่านผิวหนังเข้าสู่ร่างกายเรา ที่เรียกว่าพลัง aura สีของแสงไม่เพียงมีผลต่อสุขภาพร่างกายเราเท่านั้นแต่มันมีผลต่อสุขภาพจิตของเราด้วย
สีมีผลต่อร่างกาย จิตใจ รวมทั้งอารมณ์ด้วย เราชอบสีอะไรเราก็มักจะเลือกใส่เสื้อผ้าสีนั้น หรือการเลือกสีห้อง สีในบ้าน สีข้าวของเครื่องใช้ก็เช่นกัน สีมีผลต่อสุขภาพจิตแน่ๆ ดังนั้นจึงมีการเลือกใช้สีสันสำหรับบรรจุภัณฑ์สินค้า เพื่อดึงดูดให้คนซื้อหา อิทธิพลของสีจึงมีความสัมพันธ์กับชีวิตคนเราตลอดเวลา

อิทธิพลของสีสันต่อร่างกายเรา
เมื่อแสงของสีผ่านเข้าไปในร่างกาย มันจะส่งผลกระทบกับต่อมไร้ท่อสำคัญๆ เช่น ต่อม Pituitary ต่อมใต้สมองที่ขับฮอร์โมนที่มีผลต่อการทำงานหลายหน้าที่ในร่างกายคนเรา ควบคุมการทำงานของระบบต่อมไร้ท่ออื่นๆ ให้มีการสร้างฮอร์โมน เช่น ต่อมไทรอยด์ ต่อมหมวกไต ฮอร์โมนช่วยในการเจริญเติบโต (Growth hormone) และการทำหน้าที่ของระบบสืบพันธุ์ อัณฑะ รังไข่ รวมถึงควบคุมระดับพลังงาน (energy levels) การเผาผลาญ (metabolism) ความอยากอาหาร แรงขับทางเพศ (sex drive) การเจริญเติบโต และการนอนหลับ
ตัวอย่างเช่น...
สีแดง จะกระตุ้นให้หัวใจเต้นเร็วแรงขึ้น ตลอดจนกระตุ้นการหลั่ง Adrenaline ซึ่งทำให้คนเราอยากอาหาร และมีความคิดสร้างสรรค์มากขึ้น แต่ถ้าคุณอยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่มีแต่สีแดงนานๆ คุณอาจจะรู้สึกเหนื่อยหรือเครียดได้เหมือนกัน
สีเหลือง จะกระตุ้นคลื่นสมอง และทำให้จิตใจตื่นตัว กระฉับกระเฉง มองโลกในแง่ดี
สีฟ้า อิทธิพลของสีฟ้าจะทำให้คนเรารู้สึกสงบ เยือกเย็น รู้สึกผ่อนคลาย
ดังนั้นสีต่างๆ จึงมีความสำคัญต่อการสร้างความสมดุลระหว่างจิตใจ ร่างกาย และอารมณ์ของคนเรา เมื่อมีสีฟ้าเป็นสีเย็น และสีแดงเป็นสีร้อน การใช้ทั้งสองสีนี้ก็จะให้ความรู้สึกสมดุลขึ้น การที่คนเราจะเลือกใช้สีห้อง สีบ้าน หรือสีเสื้อผ้าอย่างไร จึงสะท้อนให้รู้ว่าเรานั้นเป็นคนอย่างไร มีความรู้สึกและอารมณ์ในช่วงขณะนั้นอย่างไรด้วย

ใช้สีที่แตกต่างกันอย่างไรดี
สีที่ทรงอิทธิพลต่อความรู้สึกของคนเรามากที่สุด เห็นจะเป็นสีของห้องที่เราอยู่ไม่ว่าจะเป็นที่บ้าน ที่ทำงานหรือที่ใดๆ ก็ตามที่เราได้เอาตัวเข้าไปอยู่ที่นั่น ในกรณีที่คุณเป็นผู้เลือกสีห้อง มีหลักอยู่ว่าควรให้มีความกลมกลืนระหว่างเฉดสีร้อนและสีเย็น หากดูในวงจรสีจะเห็นว่าคู่สีตรงข้ามกันบางครั้งกลับจะเข้าคู่กันได้ดี หรือเฉดสีตัวถัดไปก็จะเข้ากันได้ดีเช่นกัน ตัวอย่างเช่น
  • สีแดงจะไปได้ดีกับสีส้ม และม่วง แต่งด้วยสีเขียวเล็กน้อยก็จะลงตัวยิ่งขึ้น
  • เมื่อสีส้มไปกันได้ดีกับสีแดงและเหลือง เติมด้วยสีฟ้าเล็กน้อยก็จะทำให้ดูครบยิ่งขึ้น
  • เช่นเดียวกัน เมื่อใช้สีเหลือง เข้ากับสีส้ม และเขียว ลองเติมสีม่วงอีกนิด
  • สีเขียวไปกันได้ดีกับสีเหลือง และฟ้า เติมด้วยสีแดงนิดหน่อยกำลังดี
  • สีฟ้าเข้ากันกับสีเขียวและม่วง เติมสีส้มเล็กน้อยก็ให้ความรู้สึกที่ดี

  • สีม่วงไปกันได้ดีกับสีแดงและฟ้า ให้เพิ่มเหลืองนิดหน่อย
Keywords ของสี
ถ้าคุณช่างสังเกตสักหน่อยจะเห็นว่า สีแต่ละสีนั้นถูกนำมาใช้ในกาลเทศะตามความเหมาะสมต่างกัน เพราะโทนสีต่างๆ ให้ความรู้สึกหลากหลายซึ่งอาจตีความได้มากมาย

สีม่วง ดูเป็นสีผู้ดี แบบชนชั้นสูง สง่างามสง่างาม หรูหรา มีความวิจิตรบรรจง แสดงถึงสัญชาติญาณ ชวนฝัน ให้ความรู้สึกลึกลับถึงจิตวิญญาณ แต่ในบ้านคนส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้เลือกใช้สีม่วงเป็นสีพื้นฐาน แต่กระนั้นมันก็ยังคงมีความสัมพันธ์กับจิตใจ เช่น หากว่าคุณต้องการสมาธิลึกล้ำ คุณอาจต้องการห้องที่มีบรรยากาศนิ่งขรึมหน่อย สีม่วงนี่แหละที่เหมาะที่สุด มันเป็นสีที่หนัก ดังนั้นควรใช้แต่น้อย เพราะถ้าใช้สีม่วงกับห้องทั้งห้องแทนที่จะดูสง่างามมีมนต์ขลังแต่กลับจะให้ความรู้สึกกดดันมากเกินไป

สีชมพู เป็นเฉดสีแดง แต่มีสีขาวผสมเล็กน้อย น่าทะนุถนอม สงบเยือกเย็น ให้ความรู้สึกถึงความเป็นแม่ แต่เป็นสีที่ให้พลังและอบอุ่นใจ มีการทดสอบกับนักโทษในราชนาวี สหรัฐในซีแอตเติล ในปี 1978 พบว่าคนเหล่านั้นจะมีอารมณ์สงบลงหลังจากถูกกักตัวให้อยู่ในห้องสีชมพูนาน 15 นาที และอารมณ์สงบนี้ยังอยู่ต่อเนื่องอีก 30 นาทีหลังจากถูกปล่อยตัวออกจากห้อง เนื่องจากสีชมพูจะทำให้เกิดการหลั่งฮอร์โมนอดรีนาลีนออกมา ซึ่งจะทำให้การเต้นของกล้ามเนื้อหัวใจช้าลง ความเครียดและความก้าวร้าวก็น้อยลงไปด้วย สีชมพู จะช่วยประสานความรู้สึกให้อ่อนโยนลง บำรุงความรัก เป็นสีที่โรแมนติก ดังนั้นจะเห็นว่าคนที่กำลังมีความรักมักจะถูกล้อว่าหัวใจรักสีชมพู สีนี้จึงมีสรรพคุณเข้าท่าน่าลองใช้เป็นสีห้องนอนของคนที่หย่าร้างกัน

สีแดง เป็นสีอบอุ่น โรแมนติก ชวนหลงใหล และกระตุ้นความรู้สึกได้ดี ทำให้กระฉับกระเฉง กระปรี้กระเปร่า เต็มไปด้วยชีวิตชีวา รุ่มร้อน สีแดงยังแสดงถึงความมั่งคั่งสมบูรณ์ในความเชื่อของคนจีน
เมื่ออยู่ในสภาวะแวดล้อมสีแดงความดันโลหิตจะเพิ่มขึ้น ทำให้การเต้นของหัวใจเร็วขึ้น หายใจถี่ขึ้น สมองก็แอคทีฟขึ้นด้วย เป็นการกระตุ้นกลไกการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย สีแดงนี้เองที่ทำให้คนเรา เร่าร้อน ปั่นป่วนหัวใจ สีแดงเป็นสีของธรรมชาติ เป็นสีของไฟ และเลือด เป็นสัญลักษณ์ของพลังอำนาจ และพลังชีวิต
สีแดงจึงเป็นสีแห่งอารมณ์สีหนึ่งเลยทีเดียว เพราะช่วยเพิ่มการหลั่งของอดรีนาลีน เป็นสีที่ทำให้คนพลุ่งพล่านได้ง่ายๆ น่าระวังถ้าคุณใช้สีแดงกับบ้านของคุณ และตราบใดที่คุณอยู่ในห้องสีแดงคุณอาจจะรู้สึกว่าเวลาช่างผ่านไปเชื่องช้าเหลือเกิน
หากใช้สีแดงในการบำบัดด้วยสี (colour therapy) พลังของสีแดงจะช่วยให้กล้ามเนื้อและข้อต่อต่างๆ แข็งแกร่งขึ้น และยังช่วยเสริมให้คนที่เฉื่อยชามีความกระฉับกระเฉงขึ้นด้วย สีแดง สีส้ม และสีเหลืองมักจะทำให้คนฉุนเฉียวได้ง่ายกว่าสีฟ้า เขียวและม่วง

สีฟ้า เป็นสีเย็น ตรงกันข้ามกับสีแดง สีฟ้าสามารถทำให้ร่างกายคนเราปล่อยฮอร์โมนที่ทำให้อารมณ์สงบลงได้ สีฟ้าช่วยให้เรารู้สึกผ่อนคลายยามที่เรารู้สึกเครียด แต่ถ้าเราใช้มันมากมันก็จะทำให้เรากลายเป็นคนเฉื่อยไปแทน ถ้านั่งอยู่ในห้องสีฟ้าคุณอาจจะรู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็ว เพราะเรารู้สึกผ่อนคลายมาก
ห้องสีฟ้าเป็นสีที่ได้รับการยอมรับว่าจะช่วยให้นอนหลับได้ลึกดีที่สุด ผลการวิจัยพบว่า การใช้ยาหลอก (Placebo tablets) เม็ดสีฟ้าโดยหลอกว่าเป็นยานอนหลับนั้นได้ผลดีเยี่ยมมากกว่ายาเม็ดสีชมพู ซึ่งยังว่ากันว่าห้องสีฟ้าเหมาะจะใช้เป็นสีของห้องนอน โดยเฉพาะห้องของคนที่เป็นโรคนอนไม่หลับ เพราะให้ความรู้สึกสงบและเยือกเย็น สีฟ้าเป็นสีของน้ำ เป็นสีที่สงบ แต่มีความเคลื่อนไหว และดูฉลาด ให้ความรู้สึกถึงเสรีภาพและการปลดปล่อย
แต่ตรงกันข้ามสีฟ้าจะมีผลต่อเด็กเล็กๆ ไม่น้อยเลย เพราะเป็นสีที่สว่าง เจิดจ้า เด็กทารกจะสามารถมองสีสว่างๆ ได้นานๆ จึงไม่เหมาะที่จะใช้กับห้องนอนเด็กเล็ก

สีน้ำเงิน เป็นสีโทนเย็น ให้ความรู้สึกถึงความยึดมั่น จริงจัง สงบนิ่ง มีพลัง และมีเสน่ห์ สุภาพ สูงศักดิ์ เป็นสีที่ให้ความรู้สึกลึกล้ำ น่าค้นหา เช่น สีของท้องมหาสมุทร ท้องฟ้ายามเย็น เป็นสีอมตะที่อยู่เหนือกาลเวลา เพราะสีน้ำเงินเป็นส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างสีฟ้า เจ้าแห่งความสงบ ผสานด้วยความอบอุ่นของสีแดง สีนี้เหมาะกับการใช้กับเสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย และสีของสิ่งของชิ้นเล็กๆ แต่ถ้าต้องอยู่ในบรรยากาศห้องที่เป็นสีน้ำเงินกลับจะทำให้รู้สึกอึดอัด แน่น เหมือนถูกกดบีบ ทำให้ที่กว้างดูแคบลงถนัดตา ดังนั้นสีนี้ไม่เหมาะที่จะเลือกใช้กับที่อยู่อาศัย

สีเขียว เป็นสีของธรรมชาติและเป็นสีแห่งความสมดุลเพราะเป็นสีที่อยู่ระหว่างกลางของสีรุ้ง มันสามารถสร้างความกลมกลืน มั่นคง และเยียวยาได้ เป็นสีที่สว่างและชัดเจน เป็นสีของคนที่เข้าใจอะไรง่าย ไม่เห็นแก่ตัว และเป็นคนที่มีความรักอย่างไม่มีเงื่อนไข เป็นสีที่ใกล้ชิดธรรมชาติที่สุด หากใช้กับสีห้องจะช่วยให้เชื่อมต่อกับธรรมชาติเขียวขจีภายนอกได้ดีที่สุด มันเป็นที่มาของสตูดิโอหรือโรงละครที่จะต้องมี ห้องสีเขียว เพื่อให้ศิลปินได้เข้าไปผ่อนคลายรวบรวมสมาธิก่อนการแสดง เพราะสีเขียวมีส่วนช่วยในการระงับความรู้สึกตื่นเต้น หรือ nervous ได้ดี
นอกจากนี้พืชผักสีเขียวที่เรากินก็ยังให้คุณค่าโภชนาการมหาศาล ทั้งสารอาหาร กากใยสูง ช่วยขจัดพิษต่างๆ ในร่างกายได้ และทำให้สุขภาพคงกระพัน สีเขียวยังมีความสำคัญทางการแพทย์ โดยช่วยคืนความสมดุลของจิตใจในผู้ป่วยโรคจิตด้วย สภาพแวดล้อมสีเขียวจะช่วยให้หายเหนื่อย บรรเทาอาการช็อค บำรุงขวัญ กำลังใจให้ดีขึ้นอีกด้วย คุณจึงสามารถใช้สีเขียวกับทุกๆ ห้องภายในบ้าน เพราะเป็นสีแห่งความสมดุลเป็นที่สุด

สีส้ม เป็นสีแห่งความกระตือรือร้น และมองโลกในแง่ดี เป็นสีแห่งความสนุกสนานจิตใจอบอุ่น และเป็นคนใจกว้าง เป็นสีของคนมีอารมณ์ขันและมิตรภาพ คนที่มักจะชอบใส่ชุดสีส้มมักจะเป็นคนที่มีชีวิตและจิตวิญญาณสนุกสนานเป็นเนืองนิตย์ แต่สีส้มก็เป็นสีที่ช่วยเบรคการกระตุ้นพลังงาน เป็นสีที่ทำให้คนรู้สึกฮึกเหิมต่อสู้กับความยากลำบากได้ดี สีส้มสามารถใช้ได้โดดๆ เป็นสีของห้องอาหาร เพราะให้ความรู้สึกถึงการสังสรรค์ ทั้งช่วยเรียกน้ำย่อยได้ดีด้วย
สีต่างๆ มีอิทธิพลต่อคนเราแตกต่างกันไป แต่มีเพียงสีฟ้าและสีแดงที่มีผลต่อความรู้สึกชัดเจนมากที่สุด ซึ่งสีส้มจะเป็นตัวเสริมให้เกิดความชื่นบาน และเร่งเร้าให้คนกระตือรือร้นในการทำงานจึงเหมาะกับการเลือกเป็นสีบริเวณทางเข้าของสำนักงานด้วยยิ่งนัก

สีเหลือง เป็นสีที่แสดงถึงความฉลาด ความสว่างไสว และความสำเร็จ หากว่าคุณต้องการกระตุ้นให้สมองคุณคิดอย่างมีประสิทธิภาพทั้งการเขียนและการพูด ลองสวมใส่เสื้อผ้าสีเหลือง ใช้ห้องเรียนสีเหลือง หรือตกแต่งบ้านด้วยดอกไม้สีเหลืองก็น่าจะดี เป็นสีที่แสดงให้เห็นถึงการมีจุดหมายที่ชัดเจน และไอเดียใหม่ๆ สีเหลืองเป็นสีที่ใกล้เคียงกับแสงอาทิตย์ที่สุด ถ่ายทอดถึงความหวัง ความสนุกสนานเริงร่า และความเบิกบาน เป็นสีที่มีความเหมาะสมในการนำมาผสมผสานเข้ากับสีอื่นๆ หรือจะเลือกใช้เป็นสีตรงข้ามก็เยี่ยม ในการบำบัดทางจิตด้วยสี (colour therapy) สีเหลืองจะมีพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่ในการสร้างความสมดุลแห่งจิตใจ ช่วยทำให้เกิดการตัดสินใจได้เร็วขึ้น และลดความลังเลลง สีเหลืองมักจะทำให้คนรู้สึกดี หากใช้เวลา 90% อยู่ภายในห้องสีเหลืองมันจะช่วยเสริมให้คุณมีความมั่นใจในตัวเองสูงขึ้น และลดความรู้สึกผิดหวังลงได้บ้าง สีเหลืองจึงเป็นสีที่ช่วยกำจัดมลพิษของจิตใจด้วยการทำให้คนลดความคิดเชิงลบกับสิ่งต่างๆ ลงได้

สีน้ำตาล เป็นสีตัวแทนของผืนโลกเป็นสีที่ทำให้คนรู้สึกว่าได้รับการปกป้อง และติดดิน เป็นสีเชื่อมต่อให้คนรู้สึกถึงผืนดิน แต่การที่จะเลือกใช้ ห้องเป็นสีน้ำตาลจะทำให้รู้สึกหนักเกินไป และกดดันได้ แม้จะให้ความรู้สึกปลอดภัยก็ตามที
สีน้ำตาลเป็นสีแห่งฤดูใบไม้ร่วง เป็นสีแห่งวงจรธรรมชาติ สีน้ำตาลไม่ใช่สีพื้นฐานของสีรุ้ง แต่เป็นสีที่ผสมไว้ด้วยสีแดง จึงให้ความรู้สึกอบอุ่น แต่สีน้ำตาลยังเป็นนิยามของ การหยุดชะงัก แสดงถึงความมีสุขภาพไม่ดี

สีขาว คือสีของแสงที่ผสานทุกสีของแสงเข้าไว้ด้วยกัน จนไม่มีสี มันคือสีของแสงธรรมชาติ เป็นสีแห่งความบริสุทธิ์ และมีวัฒนธรรม ใสซื่อ สะอาด เปิดเผย มีความงดงามน่าหลงใหล สีที่หมายถึงการปกป้องคุ้มครองให้ จากนี้ไปคุณไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมหมอ พยาบาลจึงใส่ชุดสีขาว กระทั่งบาทหลวงในศาสนาคริสต์ก็เช่นเดียวกัน

สีดำ เป็นสีที่นิ่ง มืด ทึบตัน และหนักแน่น มีพลังในตัวมันเอง สัมพันธ์กับความหมายของความตาย และการปฏิเสธ มีความลึกลับ และความไม่รู้ สีดำชวนให้น่าเกรงขาม หากใช้กับห้องจะให้ความรู้สึกถึงความหมดหวังและความกดดัน สีนี้จึงเหมาะกับเลือกใช้ในการสร้างสรรค์บรรยากาศ แต่สีดำก็มีบทบาทในการส่งเสริมให้สีอื่นๆ เด่นขึ้นเสมอ ขณะเดียวกันอิทธิพลของสีดำยังสามารถเบรกความแรงของสีที่เจิดจ้าลงได้อีกด้วย หากว่าเลือกใช้อย่างเหมาะสมสีดำจะเป็นสีที่มีเสน่ห์มากสีหนึ่ง

แน่ล่ะ คุณเองก็ไม่สามารถปฏิเสธอิทธิพลของสีสันที่มีต่อความรู้สึกนึกคิดได้เลย เรียนรู้ที่จะใช้มัน หรือผลสะท้อนต่อสุขภาพจิตของเราสี แล้วลองเลือกใช้ดู คุณอาจจะรู้สึกสนุกกับสีสันในชีวิตมากขึ้นก็ได้

ภาพที่ 2 จาก ภาพจากhttp://variety.eduzones.com/horoscope/2011/02/23/%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%A2-%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%8A%E0%B8%AD%E0%B8%9A/
ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today
เนื้อหาจาก http://atcloud.com/stories/57561