เห็นได้จากพฤติกรรมรุนแรงที่ได้มากับเกมล้วนแต่จะเป็นปัญหาทั้งนั้น สัดส่วนระหว่างเกมสร้างสรรค์กับเกมทำลายล้างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ปัจจุบันถึงโปรแกรมเมอร์ของค่ายเกมต่างๆจะได้สร้างเกมที่มีสาระ เช่น เกมเกี่ยวกับวันสำคัญทางศาสนา หรือวันที่มีคุณค่าต่อการจดจำมากขึ้น แต่ไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก เพราะค่านิยมของการเล่นเกมของเด็กไม่ได้วัดกันที่สาระ แต่วัดกันที่ความสนุก ความนิยม เงินที่ได้จากการเล่นเกม ซึ่งไม่สามารถเปลี่ยนมาเป็นทักษะในการดำรงชีวิตของเด็ก และเงินจริงได้เลยแม้แต่น้อย แต่จะกัดกินจิตใจในแง่ดีของเด็กให้กลายเป็นจิตใจที่หยาบช้า เพราะว่าบางเกมมีแต่ความเกลียดชัง เข่นฆ่า ปล้นชิงทรัพย์ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ได้สร้างสรรค์แต่อย่างใด
ข่าวสารที่ได้รับผ่านสื่อต่างๆในตลอด 1-2 ปีที่ผ่านมานั้น จะเห็นได้ว่า ร้านเกมถูกมองไปในแง่ลบเสมอ ไม่ว่าจะทำให้เกิดคดีอาชญากรรมต่างๆ เป็นสถานที่นัดพบปะเพื่อมั่วสุม เด็กที่ติดเกมก็จะมีพฤติกรรมก้าวร้าวตามตัวละครในเกม หรือขโมยเงินคุณพ่อคุณแม่มาเล่นเกม อีกทั้งยังมีโปรแกรมที่จัดเป็นสื่อทางเพศที่ไม่สร้างสรรค์ มีการใช้เว็บไซต์เพื่อนำรูปภาพ ข้อความ เสียง และภาพเคลื่อนไหวที่มีความล่อแหลมต่อการมีพฤติกรรมทางเพศ แต่ในตอนนี้ทางกระทรวงวัฒนธรรมได้มีการทำประเมินร้านเกม โดยร้านที่ผ่านการประเมินและได้รับใบประกาศนียบัตรพร้อมตราสัญลักษณ์รับรองจากกระทรวงวัฒนธรรมจะเรียกร้านเกมประเภทนี้ว่า ร้านเกมสีขาว ซึ่งเป็นสถานที่ที่มีความปลอดภัย และมีพื้นที่สำหรับสร้างสรรค์สิ่งที่มีประโยชน์แก่เด็กและเยาวชน เป็นอีกหนทางหนึ่งที่สามารถคลายความเป็นห่วงของคุณพ่อคุณแม่ได้
สาเหตุของการติดเกมในเด็กไทยนั้นมาจากความอยากรู้อยากลอง เพื่อนชักชวน มีความสนุกสนานเพลิดเพลิน ตอบสนองจินตนาการ และในเกมนั้นยังสามารถเป็นอะไรก็ได้ไม่จำกัด ทุกคนสามารถเป็นได้อย่างหลากหลายและอิสระ แต่หากเล่นนานๆจนเกิดอาการติดเกมแล้วก็จะส่งผลให้สุขภาพเสื่อมโทรม สัมพันธภาพระหว่างเพื่อนลดลง ทำให้เกิดปัญหาการหนีเรียน และการเล่นเกมรุนแรงมากจะทำให้เด็กมีพฤติกรรก้าวร้าวอีกด้วย โดยจากการศึกษาวิจัยของสำนักงานส่งเสริมสวัสดิภาพและพิทักษ์เด็กเยาวชน ผู้ด้อยโอกาส คนพิการและผู้สูงอายุร่วมกับ
ศูนย์เทคโนโลยีอิเลคทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ หรือเนคเทค ทำให้ทราบข้อมูลที่น่าตกใจเกี่ยวกับเด็กติดเกมในเมืองไทยว่า เด็กอายุ 10-14 ปี ร้อยละ 76.5 ติดเกมสูงที่สุด รองลงมาคืออายุ 15-19 ปี ร้อยละ 71.6 และอายุ 20-29 ปี ร้อยละ 59.5
วิธีการแก้ไขปัญหาเด็กติดเกมก็ไม่ยาก ถ้าหากลูกเล่นเกมจนติดเกมไปแล้ว จะต้องใช้ความมั่นคงทางอารมณ์และความตั้งใจที่จะแก้ปัญหาอย่างจริงจังจากคุณพ่อคุณแม่เป็นอย่างมาก เริ่มจากการกำหนดข้อตกลงกันให้ชัดเจน ซึ่งคุณพ่อคุณแม่จะต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามข้อตกลง ในช่วงแรกเด็กจะหงุดหงิด และต่อต้านผู้ใหญ่ เพราะเคยต่อรองได้ผลมาก่อน คุณพ่อคุณแม่ต้องพยายามอย่าใช้อารมณ์กับลูก ในช่วงแรกอาจต้องชักจูงให้ลูกมีความสนใจในกิจกรรมอื่น ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ต้องให้เวลาพอสมควร อย่าท้อถอยหรือพูดประชดประชัน สุดท้ายแล้วเมื่อเด็กเห็นว่าต่อรองไม่ได้ก็จะทำตามในที่สุด
อีกทางเลือกหนึ่งที่จะสามารถดึงความสนใจของลูกให้ออกห่างจากเกมได้ โดยอาจแบ่งการใช้เวลาในวันหยุดของลูกอย่างเป็นกิจจะลักษณะ ตัวอย่างเช่น ในวันเสาร์หากิจกรรมอื่นๆที่อยู่ในความสนใจของลูกให้ทำ เช่น เรียนดนตรี เรียนศิลปะ เต้นรำ เล่นกีฬา เรียนภาษาเพิ่มเติม พยายามหากิจกรรมที่คิดว่าเหมาะสมกับลูกมาให้เขารู้จัก ให้เขาได้เลือกเอง สิ่งที่เด็กได้รับนอกจากเพิ่มทักษะด้านต่างๆแล้วยังมีเพื่อนเพิ่มมากขึ้น รู้จักเข้าสังคมกับคนอื่นโดยเฉพาะกับเด็กรุ่นเดียวกัน การหากิจกรรมให้ลูกได้เข้าร่วมจะทำให้ลูกไม่อยู่กับตัวเองมากเกินไป และมีโลกทัศน์กว้างขึ้น ในวันอาทิตย์สร้างสรรค์กิจกรรมที่ทำร่วมกันในครอบครัว เช่น ช่วยคุณแม่ทำอาหาร ช่วยคุณพ่อปลูกต้นไม้ ไปเที่ยวต่างจังหวัด ไปเยี่ยมญาติพี่น้อง เพียงแค่นี้ลูกก็จะสนใจในกิจกรรมอื่นๆ และออกห่างจากเกมมากยิ่งขึ้น
ถ้าหากลูกไม่มีพฤติกรรมก้าวร้าวไปตามตัวละครในเกม การที่ลูกจะติดเกมก็คงไม่ได้เป็นเรื่องเลวร้ายมากนัก แต่การติดเกมอาจจะทำให้การเรียนรู้ในชีวิตของเด็กขาดสมดุลไป ครอบครัวจึงเป็นสถาบันที่สำคัญที่สุดที่จะให้การอบรมสั่งสอน ให้การอุปการะเลี้ยงดูให้ลูกออกห่างจากเกม ดังนั้นยังไม่สายที่คุณพ่อคุณแม่จะร่วมกันแก้ไขสถานการณ์ที่เป็นอยู่ให้คลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น แต่ขอย้ำว่าต้องใจเย็นและห้ามใช้อารมณ์โดยเด็ดขาด
ที่มา = http://www.km.fiet.kmutt.ac.th/blog/2011/03/09/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น